การแข่งขัน “2025 GWM Smart Factory Half Marathon” ได้เปิดฉากขึ้นที่โรงงานอัจฉริยะซูสุ่ย เมืองเป่าเตี้ยน มณฑลเหอเป่ย โดยมีนักวิ่งกว่า 10,000 คนออกสตาร์ทในเส้นทางสุดพิเศษที่วิ่งผ่านไลน์การผลิตทั้งแผนกปั๊มขึ้นรูป ตัวถังเชื่อมประกอบ และสายพานการประกอบ ก่อนเข้าสู่สนามทดสอบความเร็วสูง
ภายในโรงงาน แขนกลอัตโนมัติขยับอย่างสม่ำเสมอทั้งสองฝั่งเส้นทาง ขณะที่ยานพาหนะขนส่งอัตโนมัติวิ่งผ่านสายการผลิตด้วยความแม่นยำ… พร้อมกันนี้ยังสร้างทิวทัศน์อุตสาหกรรมอันน่าประทับใจที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีอัจฉริยะ
“ตอนนั้นผมเริ่มวิ่งตามไม่ทันและอยู่คนเดียว” พนักงาน GWM คนหนึ่งเล่าถึงประสบการณ์ในการแข่งขัน “แต่จู่ ๆ แขนกลก็ตรวจจับผมได้และขึ้นข้อความบนหน้าจอว่า ‘สู้ ๆ นะ!’ เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ช่วยให้ผมมีกำลังใจจริง ๆ”
ปัจจุบัน ระบบการผลิตอัจฉริยะของ GWM ได้ผสานระบบอัตโนมัติเข้ากับทุกขั้นตอนการผลิตอย่างไร้รอยต่อ ตั้งแต่การเชื่อมตัวถัง การจัดการวัสดุ การทากาว จนถึงการส่งชิ้นส่วน ทั้งหมดดำเนินงานด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ด้วยการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องภายในองค์กร GWM สามารถวิจัยและผลิตชิ้นส่วนหลักสำคัญได้เอง เช่น เครื่องยนต์ ระบบเกียร์ และแบตเตอรี่กำลัง
มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีหลัก เร่งขับเคลื่อนความสามารถพึ่งพาตนเอง
GWM มีทีมวิศวกรกว่า 23,000 คน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด
ที่ห้องปฏิบัติการทดสอบอุโมงค์ลมจำลองสภาพแวดล้อม รถยนต์ต้นแบบจะถูกทดสอบภายใต้สภาพอากาศสุดขั้ว ทั้งแสงแดดจัด ความร้อนสูง ฝนตกหนัก และลมแรงระดับพายุเฮอริเคน ภายในห้องปิดผนึกสนิท รถจะถูกหมุนเปลี่ยนสถานการณ์ภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภายนอก เจ้าหน้าที่เทคนิคเฝ้าติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์บนจอแสดงผลดิจิทัลขนาดใหญ่
“อุโมงค์ลมของเราถือเป็นหนึ่งในระบบที่ทันสมัยที่สุดในอุตสาหกรรม ประกอบด้วยระบบย่อย 35 ระบบ รวมถึงพัดลมกำลังสูง เครื่องไดนาโมมิเตอร์สำหรับทดสอบช่วงล่าง ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้น การจำลองแสงอาทิตย์ และระบบควบคุมแบบศูนย์กลาง” นายหลี่ ฉาน ผู้อำนวยการฝ่ายทดสอบจำลองสภาพแวดล้อม GWM กล่าว “เราสามารถจำลองอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -40°C ถึง +60°C พร้อมลมแรงสูงสุด 250 กม./ชม. ทำให้สามารถจำลองสภาพอากาศสุดขั้วจากทั่วโลก และรับรองว่ารถของเราผ่านมาตรฐานสากลตั้งแต่วันแรก”
สิ่งอำนวยความสะดวกนี้เป็นเพียงหนึ่งส่วนของระบบนิเวศด้านนวัตกรรมที่ GWM ลงทุนกว่า 10,000 ล้านหยวน เพื่อสร้างศูนย์ทดสอบครบวงจรระดับโลก ครอบคลุมการทดสอบกว่า 2,000 รูปแบบ ทั้งด้านพลังงานใหม่ การจัดการความร้อน ความปลอดภัยจากการชน และสนามทดสอบขนาดใหญ่
“การขับเคลื่อนไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ได้เปิดศักราชใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์” แจ็ค เว่ย ประธาน GWM กล่าว “เรากำลังเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นเองทั้งหมด ตั้งแต่โมเดลการขับขี่อัจฉริยะครบวงจร สถาปัตยกรรมข้อมูล AI รุ่นใหม่ ไปจนถึงศูนย์ซูเปอร์คอมพิวติ้ง Jiuzhou ระบบช่วยขับขี่ขั้นสูงรุ่นล่าสุดของเราได้รับการพัฒนาเองทั้งหมด และสามารถตอบสนองต่อสภาพการขับขี่จริง ทั้งในเมือง ถนนชนบท ทางหลวง ไปจนถึงการจอดรถอย่างแม่นยำ เราเชื่อว่าเทคโนโลยีไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนอนาคตของเรา”
ขับเคลื่อนเป็นหนึ่งเดียว เสริมแกร่งห่วงโซ่อุปทานผ่านการบูรณาการแนวดิ่ง
ในช่วงทศวรรษ 1990 GWM ยังเป็นผู้ผลิตขนาดเล็กที่มุ่งผลิตรถกระบะ และต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกสำหรับชิ้นส่วนหลักอย่างเครื่องยนต์และระบบเกียร์ เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัทได้ก่อตั้งบริษัทย่อยผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการวิจัยและผลิตภายในองค์กร
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้กลับนำมาซึ่งความท้าทาย บริษัทย่อยด้านชิ้นส่วนเหล่านี้พึ่งพาคำสั่งซื้อจาก GWM เกือบทั้งหมด ทำให้ขาดแรงจูงใจในการพัฒนานวัตกรรม ส่งผลให้ต้นทุนสูงกว่าซัพพลายเออร์ภายนอก และความสามารถในการแข่งขันลดลง
ปี 2018 GWM ตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยแยกบริษัทย่อยทั้งหมดออกมาเป็นบริษัทอิสระเต็มรูปแบบ แม้ในช่วงแรกจะเผชิญปัญหาอย่างหนัก เนื่องจากไม่มีคำสั่งซื้อที่รับประกันจากบริษัทแม่ หลายแห่งต้องแข่งขันตรงกับซัพพลายเออร์ต่างชาติ “นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดช่วงหนึ่งของเรา” จาง เต๋อฮุย ประธานบริษัท Nobo Automotive Systems เล่าย้อน “เราต้องยกระดับคุณภาพและลงทุนในศักยภาพหลัก ใช้เวลาหลายปีกว่าที่เราจะกลับมาคว้าสัญญาผลิตจำนวนมากได้อีกครั้ง”
การเปลี่ยนผ่านที่ยากลำบากนี้กลับเปิดโอกาสใหม่ให้ Nobo สามารถส่งมอบชิ้นส่วนให้ผู้ผลิตระดับโลก เช่น BMW และเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานสากรอย่างเป็นทางการ
ตลอด 35 ปีที่ผ่านมา GWM เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์จีนรายแรกที่ดำเนินกลยุทธ์บูรณาการแนวดิ่ง จนสร้างระบบนิเวศห่วงโซ่อุปทานครบวงจรที่ทุกส่วนเกื้อหนุนกันและกัน พร้อมหมุนเวียนทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ “การสร้างแบรนด์รถยนต์ที่แข่งขันได้ในเวทีโลก ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งด้านการผลิตและเทคโนโลยีเท่านั้น” แจ็ค เว่ย กล่าว “เรายังต้องสร้างความได้เปรียบในช่องทางจำหน่ายและจุดเชื่อมต่อกับลูกค้า ซัพพลายเออร์และดีลเลอร์ไม่ใช่แค่คู่ค้า แต่คือทีมเดียวกัน”
มุ่งสู่เวทีโลก โชว์ศักยภาพแบรนด์จีน
“รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้วิ่งได้ระยะ 200 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ใช้น้ำมันเพียง 7 ลิตรต่อ 100 กม. ในโหมดไฮบริด มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศ AI ขนาดใหญ่ในตัว และตู้เย็นอิสระขนาด 12.5 ลิตรที่ทำความเย็นได้ถึง 0°C” ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คณะผู้แทนต่างประเทศได้เยี่ยมชมรุ่นใหม่ของเรา ได้แก่ WEY G9, GWM TANK 300 Hi4-T และ HAVAL H9 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อผู้บริโภคทั่วโลก
แจ็ค เว่ย เปิดเผยว่า โรงงานแห่งใหม่ในนครเซาเปาโล ประเทศบราซิล ซึ่งจะเริ่มดำเนินงานกลางปีนี้ จะมีกำลังการผลิตปีละ 50,000 คัน พร้อมสร้างงาน 2,000 ตำแหน่ง โรงงานจะใช้ระบบการผลิตอัจฉริยะและดิจิทัล ผลิตทั้งรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และไฮบริด พร้อมระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะขั้นสูง
กลยุทธ์ “Ecological Globalization” ของ GWM ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากแนวคิดการสร้างระบบนิเวศระหว่างประเทศ โดยมองว่าการขยายสู่ตลาดต่างประเทศไม่ใช่แค่การส่งออกรถยนต์ แต่เป็นการถ่ายทอดศักยภาพด้านอุตสาหกรรมไปทั่วโลก จากการส่งออกสินค้าเพียงอย่างเดียว พัฒนาเป็นการตั้งฐานการผลิตครบวงจรในต่างประเทศ ครอบคลุมการวิจัย การผลิต การจัดหา การจำหน่าย และการบริการ
ปัจจุบัน โรงงานรถยนต์พลังงานใหม่ของ GWM ที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ORA03 EV ด้วยสัดส่วนชิ้นส่วนภายในประเทศกว่า 50% โรงงานแห่งนี้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ครบวงจรแห่งที่สองนอกประเทศจีน และเป็นแห่งแรกในต่างประเทศที่มุ่งผลิตรถยนต์พลังงานใหม่โดยเฉพาะ มีพื้นที่ 658,800 ตารางเมตร พร้อมกำลังการผลิตระยะเริ่มต้นปีละ 80,000 คัน และติดตั้งระบบการผลิตคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล
เวย์น โจว ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด GWM ประเทศไทย กล่าวว่า “การขยายสู่ตลาดโลกของผู้ผลิตรถยนต์จีนทุกแห่ง คือการแสดงศักยภาพการผลิตของจีนต่อสายตาโลก แบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่ของจีนกำลังเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการเดินทางพลังงานสะอาดในประเทศไทย เพื่อนำเสนอทางเลือกที่ดีกว่าแก่ผู้บริโภคไทย”
ปัจจุบัน เครือข่ายจำหน่ายต่างประเทศของ GWM ครอบคลุมกว่า 170 ประเทศและภูมิภาค มีตัวแทนจำหน่ายต่างประเทศกว่า 1,400 แห่ง ยอดขายสะสมต่างประเทศกว่า 2 ล้านคัน และมียอดผู้ใช้งานทั่วโลกเกิน 15 ล้านราย ในปี 2024 เพียงปีเดียว มียอดขายต่างประเทศถึง 450,000 คัน
แหล่งที่มา: People’s Daily